งานเข้าค นละครึ่ง
วันที่ 10 ต.ค.64 สังคมออนไลน์ทวิตเตอร์มีการติ ดแฮชแท็ก #เรียกเงิ นคืนโครงการรั ฐ
จนติดเทรนด์อันดับ 1 ซึ่งเป็นการวิพ ากษ์วิจ ารณ์เกี่ยวกับกรณีที่รั ฐบ าลมีการเรียกเก็บเงิ นคืน
จากเหล่าบรรดาร้ านค้ าที่เข้าร่วมโครงการของรั ฐ เช่น โครงการค นละครึ่ง
เป็นหลักแสนถึงหลักล้าน บ างร ายมูลค่ าสูงถึง 17 ล้าน และต้องคืนเงิ นภายใน 30 วัน
ในกรณีที่จะยืนอุทธรณ์เหลือเวลายื่นเพียง 5 วัน หรือ 15 วันหลังได้รับเอกส ารเรียกเงิ นคืน
นอกจากนี้ยังมีการแสดงความความเห็น กรณีที่รั ฐบ าลออกจดหมายขอคืนเงิ นจากประชาชน
เพราะมีการตรวจสอบพบการทุจริต เช่น ทำผิ ดกฎแสกนข้ามจังหวัด ข ายออนไลน์ และการลอบแลกเป็นเงิ นสด ซึ่งหลายคนมองว่า
ต้นตอของปัญห าเกิ ดจากที่ทุกคนต้องการเงิ นสดใช้ แต่รั ฐกลับเลือกให้ใช้จ่ ายผ่ านแอปฯ
และจำกัดการเข้าถึงการใช้จ่ าย ไ ม่ครอบคลุมกับความต้องการของประชาชน
ย้อนกลับไป ช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่ านมา ศาลได้มีการตั ดสินทั้งโ ทษและโ ทษปรับ
โดยเจ้าของร้ านรับโ ทษจำรวม 52 เดือน ปรับ 260,000 บ าท
ส่วนผู้เกี่ยวข้องได้รับโ ทษจำคุ กคนละ 8-17 เดือน ปรับคนละ 40,000-85,000 บ าท โดยให้รอลงอาญาโ ทษจำเป็นเวลา 1 ปี
ทั้งนี้ โฆษกกระทร วงการคลัง ระบุว่า ร้ านค้ าที่เข้าร่วมโครงการของรั ฐ
ห้ ามแล กเป็นเงิ นสด และ ห้ ามซื้อสินค้าโดยการสแกนออนไลน์
โดยขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการของกระทร วงการคลัง
ปฏิบัติต ามหลักเกณฑ์หรือเงื่ อนไขของแต่ละโครงการอย่ างเคร่ งครัด
เพื่อไ ม่ให้เสี ยสิทธิการเข้าร่วมโครงการหรือมาตรการอื่นของรั ฐในอนาคต และถูกดำเนินคดีต ามกฎหมาย